วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) (รายงานกลุ่ม)

หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลก



รายงาน


เรื่อง แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก(จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า)



โดย


น.ส. จุฑามาศ กันตพลธิติมา 50137-0094

น.ส. พัชราภรณ์ พลวัฒน์ 50137-0101

น.ส. นันธิชา สุขสังวร 50137-0157




เสนอ


อ.พิทยะ ศรีวัฒนสาร



รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการท่องเที่ยว (HT 325)
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553


มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์







บทนำ


มรดก โลก คือสถานที่ อันได้แก่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา และควรจะปกป้องสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เพื่อให้ได้ตกทอดไปถึงอนาคต


ในปี พ.ศ. 2548 มีข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ทั้งหมด 6 ข้อสำหรับมรดกโลกทางวัฒนธรรม และ 4 ข้อสำหรับมรดกโลกทางธรรมชาติในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลก รายงานเรื่อง แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกที่น่าสนใจ (จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า) เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงและมีความงดงาม ควรค่ากับการมาเยี่ยมชม Campo dei Miracoli หรือ ที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในชื่อ จัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา คือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่ มหาวิหารปิซา (Duomo) หอเอน (Torre) หอศีลจุ่ม(Baptistery) ..และสุสาน (Camposanto)ส่วนคำว่า"กัมโป เดย์ มีราโกลี"นั้นแปลว่า"จัตุรัสอัศจรรย์"ซึ่งต่อไปนี้จะกล่าวถึงรายลเอียดของจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซ่า ข้อมูลหล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ และจะทำให้ท่าน ได้รับความรู้เพื่มขึ้นจากรายงานนี้




หลักเกณฑ์ทางวัฒนธรรม


- เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์

-เป็น สิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม

-เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว

-เป็น ตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทาง ด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
- เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตาม กาลเวลา
- มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์



หลักเกณฑ์ทางธรรมชาติ


-เป็น ตัวอย่างที่เด่นชัดของการเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการสำคัญต่างๆในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก

-เป็น ตัวอย่างที่เด่นชัดในการเป็นตัวแทนของขบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางธรณี วิทยาหรือวิวัฒนาการทางชีววิทยา และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติที่กำลังเกิดอยู่ เช่น ภูเขาไฟ เกษตรกรรมขั้นบันได

-เป็นแหล่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์หายากหรือสวยงามเป็นพิเศษ เช่น แม่น้ำ น้ำตก ภูเขา

-เป็น ถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดสัตว์และพันธุ์พืชที่หายากหรือที่ตกอยู่ในสภาวะ อันตราย แต่ยังคงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งรวมถึงระบบนิเวศอันเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของพืชและสัตว์ที่ทั่ว โลกให้ความสนใจด้วย ส่วนมหาวิหารอาบูซิมเบลนั้นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่องค์การยู เนสโก้ได้จัดให้เป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นมหาวิหารของอียิปต์โบราณอันประกอบขึ้นจากหินขนาดใหญ่สองก้อน มีลักษณะเป็นรูปปั้นองค์ฟาโรห์ทั้งสี่ ส่วนองค์ที่สองถล่มลงเนื่องจากแผ่นดินไหว ตั้งอยู่ทางใต้ของอียิปต์ บนริมฝั่งตะวันตกของทะเลสาบนัสซอร์ ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตรจากอัสวาน และเป็นโบราณสถานหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโก



หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

การสร้างเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี





หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา








ประวัติ

ประวัติกาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้
ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาลอิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา
ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุงค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วยนอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย*



แผนที่หอเอนปิซา






ขึ้นทะเบียนมรดกโลก


หลังจากเริ่มทำการปรับปรุง ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย


ภาพมุมกว้างบริเวณหอเอน ลานนี้เรียกว่า Piazza del Duomo เป็นที่ตั้งของ Batistry และ The Cathedral Baptistry สร้างในปี ค.ศ. 1260



ยอดหอเอนสามารถขึ้นไปได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม





เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 โดย โบนันโน ปิซาโน (Bonanno Pisano)ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ทำให้หอระฆังแห่งนี้เริ่มเอียงไปในทิศตะวันตกเฉียงใต้ตั้งแต่การก่อสร้างทำไปได้ถึงเพียงชั้นที่ 3 ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก พอสร้างเสร็จฐานก็ทรุดลงไปข้างหนึ่ง ทำให้เอียงออกไปจากเส้นดิ่ง 4 เมตร แต่ที่ไม่ล้มลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้




Bonanno Pisano




สรุป


เมืองปิซ่าเป็นเมืองนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและมีชื่อเสียงนั้นคือจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซาคือบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพง ใจกลางเมืองปิซา แคว้นทัสเคนี ประเทศอิตาลี ส่วนคำว่า "กัมโป เดย์ มีราโกลี" นั้นแปลว่า "จัตุรัสอัศจรรย์"เปียซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Duomo) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่ได้รับการขนานนาม ว่า "Campo dei Miracoli” หรือ " ทุ่งมหัศจรรย์ ” เพราะเป็นที่ตั้งของหอคอยที่โด่งดัง และ โบสถ์สำคัญ ๆ ที่สง่างามหลายแห่ง ดูโอโม (Duomo) เป็นหนึ่งในตัวอย่างของ สถาปัตยกรรมสไตล์ โรมันเนสค์ (Romanesque) ซึ่งผสมผสานด้วยศิลปะแบบอิสลาม โกธิค และ โรมัน มี อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 – คริสตศตวรรษที่ 6ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่1.หอเอนเมืองปิซ่าเป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศโดยยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza DeสMiracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย






สถานที่ท่องเที่ยวที่ใกล้หอเอนปิซาสุสาน (Campo Santo) สุสานแคมโปซองโต ซึ่งขึ้นในปี 1278 โดย Giovanni di Simone ตามตำนานกล่าวว่า ดินที่ใช้ใน การสร้างสุสานแห่งนี้นั้น ถูกนำมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มีเพียง พวกอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และ สมาชิกครอบครัว เมดิแคน( Medicean family) เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถูกนำร่างมาฝังไว้ ณ ที่นี้สุสานแคมโปซองโต ซึ่งขึ้นในปี 1278 โดย Giovanni di Simone ตามตำนานกล่าวว่า ดินที่ใช้ใน การสร้างสุสานแห่งนี้นั้น ถูกนำมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มีเพียง พวกอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และ สมาชิกครอบครัว เมดิแคน( Medicean family) เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ถูกนำร่างมาฝังไว้ ณ ที่นี้


Giardino Scotto และ Botanical Garden

สวนพฤกษศาสตร์ (Botanical Gardens) ตั้งอยู่ในใจกลางกรุง ปิซา เดินจากหอเอนเพียง สองสามนาทีก็ถึง สวนอันงดงามแห่งนี้ ถูกพบในช่วงปี 1540 นอกจากจะเป็น สวนพฤกษศาตร์ที่เก่าแก่ ที่สุดในยุโรปแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของ หุ่นจำลองต่างๆ จากทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบัน สวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และ เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนได้เป็นอย่างดี สวนพฤกษศาสตร์ (Botanical Gardens) ตั้งอยู่ในใจกลางกรุง ปิซา เดินจากหอเอนเพียง สองสามนาทีก็ถึง สวนอันงดงามแห่งนี้ ถูกพบในช่วงปี 1540 นอกจากจะเป็น สวนพฤกษศาตร์ที่เก่าแก่ ที่สุดในยุโรปแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของ หุ่นจำลองต่างๆ จากทั่วโลกอีกด้วย ปัจจุบัน สวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และ เป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนได้เป็นอย่างดี



วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553




แบบฝึกหัดบทที่ 1


1.ข้อใดไม่ถูกต้อง

ค. มนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์ในแง่ของอารมณ์และคาวมรุ้สึกทางธรรมชาติ


2.การที่สังคมมีความซับซ้อนและมีความเจริญทางวัตถุเกิดจากสาเหตุสำคัญในข้อใด

ค. เครื่องมือ


3.ข้อใดถูกต้องที่สุดเมื่อกล่าวถึงการศึกษางานศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในโลกตะวันตก

ง. ภาพเขียนสีถ่ำลาสโคซ์

4.คำว่ามนุษย์ผู้ถนัดในการใช้มือตรงกับข้อใดมากที่สุด

ก. โฮโมฮาบิลิส

5.ข้อใดเป็นมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งในยุโรปซึ่งทิ้งผมงานศิลปะไว้มากมายในถ้ำต่างๆ

ข. โครมันยอง

6.ข้อใด มิใช่ แหล่งโบราณคดีซึ่งพบหลักฐานภาพสีสมัยหินเก่าอายุประมา30,000-25,000BC...ในยุโรป

ค. โอลดูเวย์

7.ข้อใดเป็นศิลปะถ่ำซึ่งพบโดยบังเอิญจากการเล่นซุกซนของเด้กสองคนเมื่อ ค.ศ.1940

ข. ลาสโคซ์

8.ภาพเขียนสีในถ้ำอะไรมักถูกยกเป็นตัวอย่างของจิตรกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์เสมอ

ก. อัลตามีรา


9.ข้อใดไม่ถูกต้อง

ง. งานประติมากรรมรูปคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักมีขนาดใหญ่

10.Menhir or Standing Stone เป็นอนุสาวรีย์หินแบบใด

ข. หินตั้งเดี่ยว


*********************************


แบบฝึกหัดบทที่ 2


1.พื้นฐานดั้งเดิมก่อนเกิดอารยธรรมตะวันตกก่อตัวขึ้นเมื่อใด

ก. ประมาณ 4,000 BC.


2.ภูมิภาคแถบเอเชียไมเนอร์เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมโบราณในข้อใด

ก. เมโสโปเตเมีย


3.แม่น้ำไทกริส – ยูเฟรตีส พัดดินตะกอนมาท่วมสองฝั่งภาคใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมียในฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือน …. ทำให้ภาคใต้เป็นดินแดนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลอุดมด้วยปุ๋ยธรรมชาติเหมาะต่อการเพาะปลูกพืชพรรรธัญญาหารต่างๆข้อใดถูกต้อง

ข. มีนาคม – พฤษภาคม


4.พื้นที่ภาคเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมียมีฝนตกชุกเมื่อใด

ค. ฤดูหนาว


5.ข้อใดเป็นชนชาติเก่าแก่ที่ริเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นมา

ก. ชาวสุเมอเรียน


6.ข้อใดเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียมองโลกในแง่ร้ายและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

ก. สภาพภูมิอากาศแบบกึ่งทะเลทรายแปรปรวน


7.ชาวสุเมอเรียนไม่นิยมสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ แต่นิยมสร้างซิกเกอแรท (Ziggurats)ศาสนสถานขนาดใหญ่กลางเมืองเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ลักษณะคล้ายภูเขาห้อมล้อมด้วยกำแพงเมืองและบ้านเรือนประชาชนสร้างจากวัสดุประเภทใด

ก. อิฐตากแห้ง

8.ข้อใดเป็นการปกครองในระยะแรก ของอาณาจักรสุเมอเรียน

ง. สภาของผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะ


9.ข้อใดเป็นอักษรที่เกิดจากการใช้ไม้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวแล้วผึ่ง หรืออบให้แห้ง

ก.คูนิฟอร์ม

10.ข้อใดเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย

ก. ฮัมมูราบี

11.“ พวก Canaanites ” เป็นคำเรียกชนชาติในข้อใด

ก. ชาวฟีนิเชียน


12.หลังจากถูกรุกรานโดยชาวยิวและชาวฟิลิสไตน์เมื่อประมาณ 1,300 – 1,000 BC. ดินแดนของชาวคะนาอันไนต์จึงเหลือเพียง “ ฟีนีเซีย ” ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งแคบๆของทะเลอะไร

ก. ทะเลเมดิเตอเรเนียน


13.ในปี 750 BC. ชนชาติใดได้เข้ามายึดครองดินแดนของชาวฟีนิเชียนจนเกือบหมด เหลือเพียงอาณานิคมที่เมืองคาร์เธจเท่านั้น

ก. ชาวแอสซิเรียน


14.ข้อใดเป็นต้นตระกูลของอักษรที่ชาวยุโรปใช้อยู่ในปัจจุบัน

ค. อักษรฟีนิเชียน


15.ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะลทรายเมื่อ 1,400 BC. มี Moses เป็นผู้นำสำคัญในการปลดแอกจากการเป็นทาสของชนชาติใด

ข. อียิปต์


16.ข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรอิสราเอลเมื่อประมาณ 1,013 – 973 BC.

ก. พระเจ้าเดวิด


17.อาณาจักรอิสราเอลถูกทำลายโดยชนชาติใด

ง. ชาวแอสซิเรียน


18.เหตุการณ์ที่เรียกว่า The Babylonian Captivity เกี่ยวกับชนชาติใด

ข.ชาวฮิบรู


19.ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับศาสนายูดาย

ข. นับถือพระยะโฮวา


20.ผู้สถาปนาอาณาจักรเปอร์เซียเมื่อปี 549 BC. คือใคร

ง. พระเจ้าไซรัส

****************************


แบบฝึกหัดบทที่ 3


1.มหากาพย์อีเลียดและโอเดสซีเป็นของอารยธรรมกรีกยุคใด

ก. ยุคมืด


2.วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพของเทพองค์ใด

ข. อะเธนา


3.หัวเสาทำเป็นรูปใบไม้ตรงกับข้อใด

ค. หัวเสาแบบโครินเธียน

4.ความนิยามในการสร้างประติมากรรมหญิงเปลือยแทนรูปชายเปลือยเกิดขึ้นยุคใด

ง. ยุคเฮเลนิสติก


5.จิตรกรรมกรีกสมัยแรกมักทำ Back ground เป็นสีอะไร

ข. สีแดง


6.ลักษณะของงานจิตรกรรมที่นิยมวาดสีตัดกับพื้นในฉาก แล้วพัฒนาเป็นรูปเครือเถา และรูปเล่าเรื่องในนิทานปรัมปรา (Methology) และมหากาพย์ของโฮเมอร์อย่างกลมกลืนงดงามเกิดขึ้นในยุคใด

ค. ยุคคลาสสิค


7.การแสดงละครแพร่หลายมากในยุคใด

ค. ยุคคลาสสิค


8.ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงละครแบบโศกนาฎกรรม (Tragedy) และสุขนาฎกรรม (Comedy)

ก. ตัวละครชายทั้งหมด


9.นักปรัชญากรีกที่ก่อตั้งสำนักอะคาเดมีขึ้นที่เอเธนส์คือใคร

ข. เพลโต


10.นักปรัชญาที่เชื่อว่า ปัญญานำมาซึ่งความรู้ และความรู้นำมาซึ่งความสุขสบาย ถ้าปราศจากความสุขสบายมนุษย์จะไม่เกิดปัญญา คือใคร

ค. อริสโตเติล


11.เทพองค์ใดมิใช่พี่น้องของมหาเทพซูส

ข. ฮาเดส


12.อาวุธของมหาเทพซูสคืออะไร

ค. สายฟ้า


13.เทพที่มักปรากฎกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้างสวมรองเท้ามีปีกถือคทาที่มีงูพันคือใคร

ค. เฮอร์มีส


14.เทพีแห่งการครองเรือนและเทพแห่งครอบครัวคือใคร

ค. เฮสเทีย


15.เทพีแห่งสงคราม ความฉลาดเฉลียว และศิลปศาสตร์

ข. อะธีน่า


16.เป็นฉนวนเหตุของสงครามกรุงทรอยคือใคร

ข. เฮเลน

*********************************


แบบฝึกหัดบทที่ 4


1.การปกครองในข้อใดทำให้เกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)

ค. การปกครองแบบ Tretarchy


2.หลังจากเกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ข้อใดเป็นรูปแบบการปกครองของจักรวรรดิดังกล่าว

ก. การปกครองแบบ Autocrat


3.“ โรมใหม่ ” หมายถึงข้อใด

ค. คอนสแตนติโนเปิล


4.ข้อใดไม่ใช่พื้นที่ของอาณาจักรโรมันตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 7

ค. คาบสมุทรไอบีเรีย


5.ข้อใดเป็นการปกครองที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งทางจักรวรรดิและทางศาสนา

ก. การปกครองแบบ Autocrat


6.จักรวรรดิโรมันตะวันออกใช้ภาษาอะไรในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ

ก. กรีก


7.คริสต์ศาสนาแบบ Christian Hellenism มีศูนย์กลางที่ใด

ง.กรุงคอนสแตนติโนเปิล


8.ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการแพร่หลายของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์

ง. ยุโรปตะวันตก


9.ข้อใดไม่ใช่เมืองสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงจัดไว้เมื่อ ค.ศ. 325

ก. เอเธนส์


10.ข้อใดไม่ถูกต้อง

ง. Novels คือ นิยายเรื่องยาว


********************************


แบบฝึกหัดบทที่ 5


1.ยุคกลางหมายถึงยุคซึ่งอยู่ระหว่าง

ตอบ ความเจริญโลกคลาสสิกกับยุโรปใหม่


2.ศิลปในยุคกลางตอนต้นเรียกว่า

ตอบ ยุคแห่งความสำเร็จพวกนอร์ธแมน

3.ยุคกลางตอนปลายเป็นยุคเสื่อมของ

ตอบ สถาบันศาสนาและศักดินา


4.ระบอบศักดินาหมายถึง

ตอบ ระบอบการปกครองทางสังคมที่เน้นกรรมสิทธิ์ที่ดิน

5.ยุคกลางสิ้นสุดลงเมื่อใด…..ค้นพบทวีปอเมริกา

ตอบ คริสโตเฟอร์ โคลัมปัส


6.Benefice ในสมัยกลาง หมายถึง

ตอบ จารีตการยกที่ดินของวัดให้เอกชนเช่า


7.Lord หมายถึง

ตอบ ขุนนางชั้นสูงซึ่งได้รับพระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดิน


8.พวก Crofter and Cotters ในสมัยกลางหมายถึง

ตอบ คนที่มีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าทาสติดที่ดินเพราะไม่มีที่ดินทำกิน


9.อำนาจของชนเผ่าเยอรมันมาจาก

ตอบ การใช้คมหอกสั้นปลายแคบและเครื่องมือเหล็ก


10.ชาวคริสต์เชื่อว่ากรุงโรมเป็นสถานที่ศักสิทธิ์เพราะ

ตอบ เป็นที่ฝังร่างของนักบุญ ชื่อ ปีเตอร์ซึ่งเป็นประมุของค์แรก


11.วิหารพระเจ้าชาเลอมาล ตั้งอยู่ที่ใด

ตอบ เมืองอาเคน


12.โบสถ์ All Saint Church ที่นอร์แธมตันไชร์ ประเทศอังกฤษ เป็นโบสถ์แบบ

ตอบ แองโกล-แซกซอน


13.สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์มีลักษณะเด่นคือ

ตอบ อาคารมีประตูหน้าต่างโค้งกลม กำแพงหนา หน้าต่างบานเล็กและเรียวยาว


14.มหาวิหารดูแรห์ม มีลักษณะเด่นคือ

ตอบ การทำซุ้มโค้งแบบไขว้

15.จุดเด่นของสถาปัตยกรรมกอธิคคือ

ตอบ การใช้เสาค้ำยันจากภายนอกและใช้เสาหินรองรับน้ำหนักของหลังคา


16.ใครเป็นผู้เขียนวรรณกรรมเรื่อง The City of god

ตอบ นักบุญ Augustin

17.มหากาพย์เรื่อง Chanson de Roland สะท้อนให้เห็นคุณธรรมด้านใด

ตอบ เห็นความกล้าหาร อุดมการณ์ จริยธรรม เสียสละและศรัทธาในศาสนาคริสต์


18.นิยายเพ้อฝันสมัยกลางเป็นเรื่องเกี่ยวกับ

ตอบ ความรักของหนุ่มสาว


19.The idea of Chivalry หมายถึง

ตอบ การแสวงหาความรักเทิดทูนบูชาต่อสตรีสูงศักดิ์


20.Canterberry Tales คือ

ตอบ นิยายเสียดสีสัง คมของ Chance


********************************

แบบฝึกหัดบทที่ 6


ตอนที่ 1 จงทำเครื่องหมายถูกหน้าข้อที่ถูกและทำเครื่องหมายผิดหน้าข้อที่ผิด


1.ศูนย์ของศิลปเรอแนสซองส์สมัยแรก(Early Renaissance)เกิดที่กรุงโรม

ถูก
2.พ่อค้าสมัยเรอแนสซองส์พยายามเลียนแบบชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางสมัยกลางเช่น การอุปถัมป์การศร้างงานของศิลปิน

ผิด
3.ศิลปสมัยเรอแนสซองส์นิยมความงามตามแบบอย่างจารีตสมัยกลาง

ผิด
4.นักปรัชญามนุษยนิยมสนใจเรื่องราวและหลักทำทางศาสนา

ถูก
5.ตระกูลเมดีซี Medici เป็นผู้อุปถัมป์ศิลปินที่เมืองฟลอเรนซ์

ถูก


ตอนที่ 2 จงจับคู่ให้ถูกต้อง


1.การซื้อขายตำแหน่งศาสนาและใบไถ่บาป


2.ลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากแบบแผนดั้งเดิม


3.จิตรกรรมที่ชื่อ Calling of Mathew


4.ริเริ่มจัดภาพแบบกระจายซ่อนภาพรางๆไว้นความมืดให้แสงจ้าเป็นจุดๆ


5.ทำท่าโลดโผนคล้ายแสดงละคร แต่งกายหรูหราทำผ้าเป็นจีบมุมเกินจริง


6.ประติมากรรมเดวิด


7.มีโครงสร้างละเอียดซับซ้อนแลดูพร่างพรายจากการเน้นแสงสว่างในอาคารเป็นจุดๆ


8.มีโครงสร้างเป็นเส้นโค้งอ่อนหวานเน้นรายละเอียดที่เป็นวิจิตรพิศดาร


9.เน้นให้เกิดความเคลิบเคลิ้มในบรรยากาศมากกว่า


10. จิตรกรรมชื่อ การนัดพบของคู่รัก



*********************************

แบบฝึกหัดบทที่ 7


1.ศิลปะลัทธินีโอคลาสสิค หมายถึงอะไร

ตอบ รูปแบบศิลปะที่หวนไปนำปรัชญาและหลักสุนทรียภาพทางศิลปะ แบบคลาสสิกของกรีกโบราณมาสรรค์สร้างขึ้นใหม่ในยุโรป


2.ความตื่นเต้นจาการขุดพบเมืองอะไรในสมัยโรมันซึ่งผลักดันให้เกิดศิลปะนี่โอคลาสสิค

ตอบ เมืองเฮอร์คูลาเนียมและเมืองปอมเปอี


3.ศิลปินที่กล่าวว่าศิลป คือ ดวงประทีปของเหตุผล ซึ่งต่อมากลายเป้นความเชื่อของศิลป

ตอบ ศิลปะนีโอ-คลาสสิก


4.ศิลปลัทธินีโอ-คลาสสิค มีแนวทางการสะท้อนผลงานทางศิลปะอย่างไร

ตอบ ต้องแสดงความถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์ การวางท่าทางที่สง่างามตามแบบอย่างของศิลปะกรีก-โรมันโดยเน้นความถูกต้องตามหลักความเป็นจริง


5.ผลงานของดาวิดชื่อ คำสาบานของพวกฮอราติไอ ต้องการสะท้อนแนวคิดอะไรแก่ผู้ชม

ตอบ แนวคิดเกี่ยวกับการรักชาติของนักรบโรมัน 3 คน ที่รับดาบจากบิดาไปสู่ศรัตรู


6.ภาพเขียนชื่อ โรงพยาบาลโรคระบาดที่เจฟฟา เป็นผลงานของใคร

ตอบ ดาวิด


7.ขณะที่ศิลปลัทธินีโอ-คลาสสิค คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักการและกฏเกณฑ์ทางศิลปะ แต่ลัทธิโรแมนติกกลับยึดถือและให้ความสำคัญต่อสิ่งใด

ตอบ อารมณ์และจิตใจของศิลปินมากกว่าเหตุผล


8.ภาพ แพเมดูซา The Raft of the Medusa เป็นผลงานของใคร

ตอบ เจอริโคลต์


9.ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเดอลาครัวเป็นอย่างยิ่งชื่อว่าอะไร

ตอบ ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ ชื่อ เสรีภาพนำหน้าประชาชน


10.แนวทางการสร้างสรรค์ผลงานในศิลปะลัทธิสัจจะนิยมเน้นเรื่องใดเป็นสำคัญ

ตอบ เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของมนุษย์


11.ศิลปะลัทธิเอมเพลสชั่นนิสม์ปรากฎอย่างเป็นทางการเมื่อใดและสร้างผลอย่างไร

ตอบ ค.ศ. 1874 สร้างความตื่นตระหนกและถูกประณามจากนักวิจารณ์ศิลปะแนวอนุรักษ์นิยมอย่างรุนแรง


12.ศิลปินที่ได้รับว่าเป็นผู้นำของกลุ่มลัทธิอิมเพลสชั่นนิสม์ คือใคร

ตอบ อีดูวาร์ด มาเนต์


13.อิมเพลสชั่นนิสม์เป็นจุดเริ่มต้นของสิลปสมัยใหม่ เพราะเปลี่ยนจาการเทคนิคการสร้างงานด้วยเกลี่ยสีมาเป็นเทคนิคอย่างไร

ตอบ เป็นแบบป้ายสีเพื่อให้สีผสมผสานกันในสายตาผู้ดู สนใจมิติทางสุนทรียศาสตร์


14.ศิลปินลิทธิอิมเพลสชั่นนิสม์ที่มีความสูงในการเสียงภาพคนและแง่มุมและทัศนียวิทยาชองสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ โดยใช้สีได้อย่างสดใส มีบรรยายกาศใสสะอาดราวกับสิ่งต่างๆเป็นของเหลว คือ ใคร

ตอบ ปิแอร์ ออกุสต์ เรอนัวร์


15.ศิลปะลัทธิโพสท์-อิมเพลสชั่นนิสม์ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ มีอะไรบ้าง

ตอบ 1 กลุ่มที่เน้นการแสดงออกด้านอารมณ์

2 กลุ่มที่เน้นความเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางศิลปะ


16.ผู้สนับสนุนศิลปินกลุ่มโพสท์-อิมเพลสชั่นนิสม์คือใคร

ตอบ โรเจอร์ ฟราย กับ คลีฟ เบลล์


17.ความเชื่อในการสร้างสรรค์งานของพอล เซซานน์ เป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ การประสานสัมพันธ์ของสีมีมากเท่าไร ความกลมกลืนกันก็มีมากเท่านั้น


18.แวนโก๊ะมีพัฒนาในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างไร

ตอบ ระยะแรกสะท้อนภาพชีวิตที่หม่นหมองและแสดงออกแบบลัทธิเรียลิสม์ ตอนหลังใช้แปรงแต้มสีหนาเป็นริ้วรอยแปรงที่แสดงออกึงความรุนแรงของอารมณ์อย่างที่สุด


19.ผลงานที่ได้รับยกย่องของแวนโก๊ะมี 3 ภาพ คือ

ตอบ คนกินมัน ดอกทานตะวัน ราตรีประดับดาว


20. เมื่อกล่าวถึงจิตรกรคนสำคัญที่สร้างสรรค์ผลงานอย่างไม่มีทฤษฎี ไม่มีการบันทึกถึงความสามารถในด้านบุกเบิกสุนทรีภาพใหม่โดยงานที่เขาสร้างขึ้นนั้นเปรียบเสมือนการ บันทึก สิ่งที่เขาเห็นและเข้าใจโดยปราศจากความคิดเห็น ไม่มีความสงสาร ไม่มีอารมณ์รู้สึกไม่มีการกล่าวหาและไม่มีการส่อเสียดใดๆ หมายถึงศิลปืนคนใด

ตอบ ทรูลูส โรเทรค


******************************


แบบฝึกหัดบทที่ 8


1.ศิลปะลัทธิโฟวิสม์ มีความเป็นมาอย่างไร

ตอบ Fauvism มาจากภาษาฝรั่งเศส Les Fauves แปลว่า สัตว์ป่า จึงหมายถึง ลัทธิสัตว์ป่า อันเป็นคำเปรียบเปรยรูปแบบศิลปะเมื่อเปรียบเทียบผลงานของศิลปินสมัยเรอแนสซองส์ที่งามตามหลักสุนทรียภาพเดิม


2.แนวทางการสร้างสรรค์งานของกลุ่มสะพานสะท้อนเรื่องราวอะไรบ้าง

ตอบ ความสับสน ความอัปลักษณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนา


3.แนวทางการสร้างผลงานของกลุ่มม้าสีน้ำเงินเป็นอย่างไรบ้าง

ตอบ แสดงออกทางอารมณ์อย่างรุนแรงที่แฝงความสนุกสนานจากการใช้สี เส้น และการแสดงลีลาคล้ายเสียงดนตรีสลายตัว


4.ศินปินที่ได้ชื่อว่าเป็นลัทธิอิมเพลสชันนิสม์ คือใคร

ตอบ เอ็ดวาร์ด มูงค์


5.ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ หรือ Cubism Art มีรากฐานอย่างไร

ตอบ มีรากฐานมาจากผลงานของเซซานน์


6.ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ เชื่อในเรื่องใด

ตอบ การแสดงออกทางศิลปะนอกจากจะไม่ต้องแสดงเชิงการถ่ายทอดเชิงความเป็นจริงตามตาเห็นแล้วยังจะต้องกลั่นกรองรูปทรงด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์รูปทรงให้เหลือเพียงแก่นแท้ที่มั่นคงแข็งแรง


7.ภาพ เกอนีแค ค.ศ.1937 เป็นผลงานของศิลปินคนใด

ตอบ ปาเบล ปิคัสโซ


8.ผลงานศิลปที่ชื่อ บ้านที่เลสตัค ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเบอร์น เป็นผลงานของศิลปินคนใด

ตอบ จอร์จ บราค


9.ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของศิลปนามธรรมคือใคร

ตอบ แคนดินสกี จิตรกรชาวรัสเซีย


10.จิตกรลัทธินามธรรม เอ็กเพรสชันนิสม์ ที่มีชื่อเสียงและโดดเด่น ได้รับฉายาว่าเป็นจิตรกรแบบ Action Painting คือใคร

ตอบ แจคสัน พอลลอค


11.ศิลปลัทธิดาดามีพัฒนาการความคิดเริ่มแรกมาอย่างไร

ตอบ เตือนให้มนุษย์ตระหนักถึงผลลัพธ์ของสงคราม

12.การสลายตัวของศิลปินลัทธิดาดาเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตอบ การเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์โลกดีขึ้น และงานศิลปแนวลัทธิเซอร์-เรียลิสม์กำลังได้รับความนิยม ใน ค.ศ.19221
3.ศิลปลัทธิดาดาชื่อ น้ำพุ และภาพโมนาลิซามีหนวด เป็นผลงานของใคร

ตอบ มาร์เซิล ดูชัมป์


14.ศิลปินลัทธิเซอเรีย ลิสม์ที่ใช้ ทฤษฎีอันฉับพลันของความเข้าใจอันไร้เหตุผล อันมีพื้นฐานมาจากการตความหมายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ของจิตร อันแปรปรวนคือใคร

ตอบ ซันวาดอร์ ดาลี


15.ความหมายเชิงปรัชญาของ เซอร์ –เรียลิสม์ คืออะไร

ตอบ เชื่อในความจริงมากกว่ารูปแบบความสัมพันธ์บางอย่างที่ถูกละเลยมาก่อนหน้านี้


***************************


แบบฝึกหัดบทที่ 9


1.ศิลปะป๊อปอาร์ต มีลักษณะอย่างไร

ตอบ เกี่ยวข้องกับบุคคลในสังคมปัจจุบัน ที่กำลังได้รับความสนใจหรือวิพากษ์วิจารณ์มิใช่เทพนิยาย ประวัติศาสตร์หรือศาสนา


2.ศินปินที่นำรูปร่างของอาหารซึ่งเป็นที่นิยมของสมัยนี้มาจำลองด้วยการใช้ผ้ายัดนุ่นคล้ายหมอนเพื่อสร้างความเร้าใจแก่ผู้พบเห็นคือใคร

ตอบ แคลส์ โอลเดนเบอร์ก


3.จิตรกรอเมริกันที่กล่าวถึงศิลปป๊อปอาร์ต ว่าในความคิดของฉันเป็นศิลปะที่ไร้ยางอายที่สุดแห่งวัฒนธรรมของพวกเขาคือใคร

ตอบ รอย ลิชแทนสเตน


4.ศิลปะป๊อปอาร์ต รูปแบบอย่างไร

ตอบ เป็นศิลปนามธรรมเน้นขอบเขตที่คมกริบ มีการจัดวางทิศทางและลีลาของเส้น รูปร่าง หรือจุดบนพื้นระนาบให้เกิดการลวงตา


5.Kinetic Art หมายถึงอะไร

ตอบ เป็นศัพท์ทางฟิสิกส์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวในทางศิลปะกาโบ


6.ผลงานชื่อหน้าผาที่ถูกห่อ ในศิลปแบบ Conceptual Art สร้างสรรค์โดยศิลปินชื่ออะไร

ตอบ คริสโต


7.สร้างสรรค์ทางศิลปชื่อเขียนขดก้นหอย คือผลงานของใคร

ตอบ George Steinmetz


*******************************


แบบฝึกหัดบทที่ 10


1.พระสันตปาปาทรงนำดินแดนอิตาลีส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครอง ของอาณาจักรโรมันศักสิทธิ์ในสมัยใด

ตอบ สมัยยุคกลาง


2.Papal State เกิดขึ้นเมื่อใด

ตอบ ปลายศตวรรษที่ 15


3.ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างชาติอิตาลี ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19คือ

ตอบ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลแห่งซาร์ดีเนีย


4.ในอดีต สนามกีฬา Colosseum จุคนได้กี่คน

ตอบ 67000-80000 คน


5. จุดกำเนิดของเพลง ทรี คอย ออฟ เดอะ ฟาวน์เท่น ที่กรุงโรมคืออะไร

ตอบ น้ำพุเทรวี


6.มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นมหาวิหารที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันเนื่องจากอะไร

ตอบ เชื่อกันว่าเปนสถานที่ฝังร่างของนักบุญปีเตอร์ หนึ่งในสาวก สิบสององค์ของพระเยซู


7.นักวิทยาศาสตร์ทางอิตาเลี่ยนซึ่งทดลองเรื่องความเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ณ หอ เอนปิซาคือใครตอบ กาลิเลโอ


8.ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นใหญ่ว่าหกเหลี่ยม เนื่องจากอะไร

ตอบ รูปทรงทางกายภาพของประเทศ


9.หอไอเฟล ตั้งอยู่ที่ใด

ตอบ ปารีส ฝรั่งเศส


10.พระราชวังแวร์ซายส์ ตั้งอยู่ในกรุงปารีสเป็นพระราชวังที่สวยงาม น่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลกสร้างโดยใคร

ตอบ พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14


11.ภาพเขียนโมนาลิซาองดาวินซี ปัจจุบันอยู่ที่ใด

ตอบ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์


12.สวิตเซอแลนกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในปี 1863 เมื่อใครจัดทัวร์ครั้งแรกจากอังกฤษ ไปยังสวิตเซอร์แลนด์

ตอบ โทมัสคุ๊ก


13.พวกที่ย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์สวิตเซอแลนเมื่อ10000 ปีก่อนคริสตศักราชคือคนกลุ่มใด

ตอบ กลุ่มนักล่าสัตว์และคนเร่ร่อน


14.ในยุคจักวรรดิ โรมันอันศักสิทธิ์ สนธิสัญญา Verdun ในปี 834 ทำให้พื้นที่ทางทิศตะวันตกของสวิตเซอแลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Lothair ที่ 1 ส่วนทางด้านตะวันออก อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์ใด

ตอบ Louis the German


15.ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1และ2 สวิตเซอแลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางการทหารบทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืออะไร

ตอบ การส่งสภากาชาติเข้ามาช่วยเหลือ


16.ประเทศสวิตเซอแลนด์เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา เซ็งเก็นซึ่งมีใจความสำคัญว่าอย่างไร

ตอบ นักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาติเซงเก็นแบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถเดินทางเข้าออกประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่ารวม 26 ประเทศ


17.อาหารขึ้นชื่อของซูริกคืออะไรบ้าง

ตอบ เกซเนตเซลเตส และราทส์เฮเลนโตฟ


18.ประสาทที่ปรากฎในการ์ตูนของวอล ดิสนีย์นำรูปแบบมาจากประเทศอะไรในสวิตเซอแลนด์

ตอบ ปราสาทตูน


19.เมืองต้นกำเนิดของชัส ยี่ห้อเอ็ม เมนทัลและชอคโกแลตทรงสามเหลี่ยมท็อปเบิลโรน คือเมืองใด

ตอบ เบิร์น


20.สัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นคืออะไร

ตอบ หมี


21.ฃอนุเสารีย์สิงโตมีความสำคัญอย่างไร

ตอบ เป็นอนุเสารีย์ที่สร้างให้กับทหารที่เป็นองครักษ์ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเสียชีวิต 786 คนใ นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส


22.เมืองศูนย์กลางการจัดนิทรรศการหลัก อีกเมืองหนึ่งของประเทศสวิตเซอแลนด์ คือ

ตอบ ซูริค


23.พิพิธภัณฑ์ใดได้รับยกย่องว่าสวยงามเป็นอันดับสองของโลก และมีชื่อเสียงมากที่สุดของมาดริดและเป็นแหล่งสะสมภาพเขียนล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลกคือ ที่ใด

ตอบ พิพิธภัณฑ์ปราโด


24.ปลาซ่า มายอร์ มีความสำคัญอย่างไร

ตอบ เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ราชาภิเษก สนามสู้วัวกระทิง


25.ผลงานส่วนใหญ่ของ ปิกัสโซ ที่บาเซโลนาสเปน อุทิศให้แก่ใคร

ตอบ เพื่อนรักของเขา คือ ซาบาร์เตส


26.เทศกาลวิ่งวัวกระทิงของเมืองแปรมโปรนาในสเปนจัดขึ้นในวัน Siant Fermin Dayนักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่ออะไร

ตอบ ชมการแสดงโชว์หวาดเสียวของวัวกระทิง


27.ข้าวหมกสเปนมีต้นกำเนิดจากที่ใด

ตอบ บาเลนเซีย


28.Sangria เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน มีส่วนผสมของอะไรบ้าง

ตอบ ไวน์แดง บรั่นดี น้ำอัดลม และผลไม้


29.ชาวโครแอทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรปช่วงศตวรรษที่6และอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักร
ตอบ ไบแทนไซต์


30.หลังสงครามโกลครั้งที่2 มีการตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 2488 ภายใต้การนำของจอมพลติโต ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ตอบ เซอร์เบีย โครเอเซีย สโลวีเนีย บอสเนีย เฮอร์เซโกวินา มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย มณฑลโคโซโว และวอยโวดินา


31.ประเทศไทยได้รับการรับรองเอกราชของโครเอเชียเมื่อไร

ตอบ ค.ศ. 1990


32.ปัจจุบันมหาวิหาร เซน สตีเฟนที่มีเมืองซาเกรปมีลักษณะทางศิลปแบบใด

ตอบ แบบนีโอ กอธิค


33.มหาวิหารเซนต์เจมส์ที่เมืองไซเบนิค ซึ่งสร้างขึ้น 1431-1535 เป็นสถาปัตกรรมที่ผสมผสานอะไรบ้าง
ตอบ ดาลมาเซียท้องถิ่น ศิลปะทางเหนือของอิตาลีและศิลปะทัศคานี


34.ได้รับฉายา แคลิโฟเนีย แห่งเมืองโครเอเชียคือเมืองใด

ตอบ Trogir


35.ชื่อเดิมของประเทศตุรกีคืออะไร

ตอบ จักรวรรดิออตโตมัน


36.House of Verjin Mary บ้านของพระแม่มารีมีความสำคัญอย่างไร

ตอบ เป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยและสิ้นพระชนม์ที่นี่


37.เมืองเอฟฟิซุส สำคัญอย่างไรต่อจักรวรรดิโรมัน

ตอบ เคยเป็นที่พักอาศัยของชาวโยนกและเคยเป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน


38.พระราชวังโดลมาบาชเช่ สร้างโดยใคร

ตอบ สุลต่านอับดุล เมอซิท


39. เหตุใดนาฬิกาทุกเรีอนของพระราชวังโดลมาบาชเช่จึงชี้ที่ 09.05 เป็นนิจนิรันดร์

ตอบ เพื่อเป็นการรำลึกของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พ ย. 1938 ของอาคาล อาตาเติร์ก


40. อาหารประจำชาติตุรกีคืออะไร

ตอบ กะบับ


********************************


วิหารอโครโปลิส ประเทศกรีซ





คำว่า "อโครโปลิส"มีความหมายแปลตามตัวเป็นภาษากรีกว่า อัคร แปลว่าสูง และโปลิส แปลว่า นคร จึงมีความหมายรวมกันว่า "นครบนที่สูง" ทั่วทั้งอาณาจักรกรีกและโรมัน จะพบเห็นโครงสร้างพื้นฐานในการป้องกันตนเอง ซึ่งผู้ตั้งถิ่นฐานในสมัยนั้นมักเลือกที่สูง ซึ่งมักจะเป็นเนินเขาที่ด้านหนึ่งเป็นผาชัน และกลายเป็นศูนย์กลางของมหานครใหญ่ที่เติบโตรุ่งเรืองอยู่บนที่ราบเบื้องล่างที่รายล้อมป้อมปราการเหล่านี้
และที่โด่งดังที่สุดในบรรดานครบนที่สูงแห่งนี้ คือ อโครโปลิสแห่งเอเธนส์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ "The Acropolis" เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานยิ่งใหญ่และอาคารที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่โดยรอบ อาทิ เช่น วิหารพาธีนอน
มีหลักฐานปรากฏอยู่ว่า อโครโปลิส เป็นป้อมปราการ เป็นที่หลบภัยอย่างเป็นทางการของนครเอเธนส์ และในยุคสมัยที่ตามมา วิหารและอนุสาวรีย์ต่างๆได้รับสร้างขึ้นมา เพื่อยกย่องชัยชนะในสงครามและมีการจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่
ในปี 480 ก่อนคริสตกาล อโครโปลิสถูกปกครองและยึดครองโดยชาวเปอร์เซีย และถึงแม้ว่าเมืองเอเธนส์ และชาวกรีกอื่นๆจะสามารถขับไล่พวกเปอร์เซียออกไปได้ในที่สุด แต่อโครโปลิสก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล "เพอริเคลส" รัฐบุรุษชาวนครเอเธนส์ เรียกร้องให้ผู้บริหารของเมืองสร้างวิหารอโครโปลิสขึ้นใหม่ ที่โด่งดังที่สุดที่ยังคงพบเห็นได้จนถึงทุกวันนี้คือ วิหารพาธีนอน อีเร็ดเธียออน โปรยลาเอ และวิหารแห่งอาธีน่า ไนกี้

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บันทึกของปินโต วิจารณ์บทความ395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัยของอาจารย์พิทยะ ศรีวัฒนสาร

บทคัดย่อ

บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัยคำสำคัญ: แฟร์เนา เมนเดซ ปินโต , หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย , ทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส, สมัยอยุธยา

ประวัติของปินโต

ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho) ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre) ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่างค.ศ. 1509-1512 เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ. 1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา (Cue de Pedra) การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว (Diu) ในอินเดียในค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1558 รวมเป็นเวลา 21 ปีของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน
ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531 : 115) ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค.ศ.1548 ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1534-1546) นักประวัติศาสตร์บางคนนำหลักฐานของฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือในเอกสารของเขาหลายประเด็น และชี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อนของศักราชที่เขาอ้างถึง
หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1 (Philip I of Portugal,1581-1598 และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน - Philip II of Spain,1556-1598) ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา
งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628) ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ “การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ1537-1558” แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร

รูปแบบการนำเสนอ

งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ อาทิ เหตุการณ์เมื่อสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคต บางตอนก็ระบุว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์เดินทางเข้ามายังสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531: 115) เป็นต้นปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลกให้มากยิ่งขึ้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย เขาระบุว่าอุทิศการทำงานให้แก่พระเจ้ามิได้หวังชื่อเสียง สิ่งที่ผลักดันให้เขาเดินทางไปยังตะวันออก คือ ธรรมชาติของลูกผู้ชาย เขาแสดงความขอบคุณพระเจ้าและสวรรค์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายมาได้(Henry Cogan, 1653 :1-2) ส่วนเฮนรี โคแกนระบุว่า จุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ“Pérégrinação” จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจและกระตุ้นให้มีการสำรวจและค้นคว้าทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นบทเรียนให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรืออับปาง เพื่อทัศนศึกษาดินแดนต่างๆในโลกกว้างและเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของ“คนป่าเถื่อน”(Henry Cogan, 1653 : A-B)
จุดมุ่งหมายที่จริงจังของทั้งปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณ์ สถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฏในหนังสือ “Pérégrinação” อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยๆฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสในปีค.ศ.1628 ก็ถูกอ้างอิงโดยซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de Laloubère) ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อกล่าวถึงจำนวนเรือที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาก่อนหน้าการเข้ามาของตน (จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1,2510 : 502) ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าหากลาลูแบร์เคยได้ยินการเสียดสีงานเขียนของปินโตมาบ้างก่อนที่จะเดินทางเข้ามาสยาม เขาควรจะได้ตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานจากผู้รู้พื้นเมืองชาวสยามอีกครั้ง ก่อนจะตีพิมพ์งานเขียนของตนที่กรุงอัมสเตอร์ดัมในปีค.ศ.1714 เพราะงานเขียนของปินโตเคยถูกล้อเลียนมาแล้วอย่างอื้อฉาว แต่กลับไม่ปรากฏข้อวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของปินโตในงานของลาลูแบร์

คุณค่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม

บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1543-1546) เมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ขึ้นใน ค.ศ.1548 (พ.ศ.2091) ปินโต กล่าวว่า
“ชาวต่างประเทศทุกๆชาติที่ไปร่วมรบกับกษัตริย์สยามนั้นต่างก็ได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้รับบำเหน็จรางวัล การยกย่อง ผลประโยชน์ ความชื่นชมและเกียรติยศชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้รับอนุญาตให้สร้างโบสถ์เพื่อการปฏิบัติศาสนกิจในแผ่นดินสยามได้....”
[3]
การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ หากไม่เข้าร่วมรบก็จะถูกขับออกไปภายใน 3 วัน ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม[4] เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 (พ.ศ.2081) คลาดเคลื่อนไปจากที่ระบุในหลักฐานของปินโต 10 ปี [5] แม้ว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะทรงอ้างจากหนังสือของปินโตก็ตาม
ดร.เจากิง ดึ กัมปุชชี้ว่า บทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกส[7] จนเป็นที่มาของการตั้ง “กรมทหารฝารั่งแม่นปืน” ใน หนังสือ“ศักดินาทหารหัวเมือง”[8] ซึ่งประกอบด้วยทหารเชื้อสายโปรตุเกสจำนวน 170 นาย [9] จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ใกล้เคียงกับจำนวนของทหารอาสาโปรตุเกส 120 คน ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช

ความน่าเชื่อถือ

หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในยุโรป จึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง วิลเลียม คอนเกรฟ (William Congreve, 1670-1729) นักเขียนบทละครชาวอังกฤษได้แทรกบทกวีในบทละครชื่อ “Love for Love” (ค.ศ.1695) เยาะเย้ยว่า “Mendez Pinto was but a type of thee, thou liar of the first magnitude.” (กรมศิลปากร, 2526 : 42 ) เซอร์ ริชาร์ด เบอร์ตัน ( Sir Richard Burton) ในงานเขียนชื่อ “The Third Voyage of Sinbad, the Sailor” ระบุว่า การผจญภัยของปินโตมีลักษณะคล้ายกับเรื่องราวในนิยายอาหรับและตั้งฉายาเขาว่า “ซินแบดแห่งโปรตุเกส” [10]
นักประวัติศาสตร์ไทยหลายคนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอด อาทิ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มานพ ถาวรวัฒน์สกุลในเรื่องขุนนางอยุธยา(2536) อ้างเรื่องยศขุนนางสมัยอยุธยาตอนกลาง สุเนตร ชุตินทรานนท์ในเรื่องบุเรงนองกะยอดินนรธา(2538) ก็อ้างเอกสารของปินโตซึ่งระบุตรงกับราล์ฟ ฟิตซ์ (Ralph Fitch)ว่า พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่องการขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่าใน ค.ศ.1569 เป็นต้น
งานเขียนปินโตบางส่วนมีรูปแบบเป็นจดหมายติดต่อกับบุคคล (Campos,1940,P.21) ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามความแม่นยำของเวลา (Timing) ที่ระบุในบันทึกของเขา และปินโตยังยืนยันว่าเขาได้รับจดหมายฝากฝัง (recommended letter) จากผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัว (Goa) เพื่อให้ได้เข้าเฝ้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระราชินีแคเธอรีนแห่งโปรตุเกส (Cogan,1653 : 317) แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการอ้างอิงพยานบุคคลของเขา

หลักฐานของปินโตกับปัญหาในการศึกษาชุมชนโปรตุเกสสมัยอยุธยา

การกล่าวว่ากองทัพพม่านำกระบือและแรดมาลากปืนใหญ่เพื่อทำสงครามกับสยามในฉบับแปลของโคแกน ทำให้วูด(Wood)ชี้ว่างานเขียนของปินโต “เป็นหลักฐานเชิงจินตนาการ” ข้อเสนอของวูดอาจทำให้นักเรียนประวัติศาสตร์เห็นคล้อยไปกับคอนเกรฟที่ระบุว่า ปินโตเป็นคนขี้ปด โชคดีที่ ดร. เจากิง ดึ กัมปุชแย้งว่า ปินโตไม่เคยระบุคำว่า “แรด” ในงานเขียน คำศัพท์ที่เขาใช้ คือ คำว่า “bada หรือ abada”นั้น ในคริสต์ศตวรรษที่16 หมายถึง สัตว์ป่า หรือ สัตว์เลี้ยงที่กลายเป็นสัตว์ป่า แม้ว่าจะมีนักเขียนบางคน เช่น บาทหลวง กาสปาร์ ดึ ครูซ (Fr. Gaspar de Cruz) จะใช้คำดังกล่าวเรียกแรดก็ตาม ส่วนบาร์โบซา (Duarte Barbosa) จูอาว ดึ บารอส (João de Baros ) และ คาสปาร์ คอร์รีอา (Caspar Correa) ต่างก็ใช้คำว่า “ganda” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตเมื่อกล่าวถึงแรด ขณะที่นักรวบรวมพจนานุกรม ชื่อ บลูโต (Bluteau, 1727) แปลคำว่า “abada คือ สัตว์ป่าชนิดหนึ่ง” ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในการโต้แย้งประเด็นที่มีการแปล “abada” ว่า “แรด” (Campos, 1959 : 228) แม้ในภาษามาเลย์จะมีคำว่า “badâk” แปลว่า “แรด” แต่ในภาษาอาหรับก็มีคำว่า “abadat” หมายถึง “สัตว์ที่มีรูปร่างเป็นสีน้ำตาล” หรือ “สัตว์ป่า” หรือ “สัตว์เลี้ยงที่หลบหนีไปจนกลายเป็นสัตว์ป่า” ดึ กัมปุช ระบุว่า คำว่า “abada” ถูกแปลว่า “แรด” ในคริสต์ศตวรรษที่17 ดังนั้น “abada” ในบันทึกของปินโตจึงถูก ฟิกูอิเยร์และโคแกนแปลว่า “แรด” ในเวลาต่อมา ปินโตจะใช้คำว่า “abada” เมื่อกล่าวถึง “จามรี(yaks)” ซึ่งเป็นสัตว์ต่าง (beast of burden) ในตาตาเรีย (Tataria) เพราะไม่มีศัพท์ดังกล่าวในภาษาโปรตุเกส และใช้คำภาษาอาหรับว่า “abida” ในที่อื่นๆอีกร่วม12ครั้งเมื่อกล่าวถึงสัตว์ใหญ่คล้ายแรดหรือสัตว์ต่างชนิดอื่นซึ่งไม่อาจหาคำมาใช้แทนได้

สรุป

ผู้เขียนเห็นว่างานนิพนธ์ของปินโตมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียงวรรณกรรมประโลมโลกหรือนิยายผจญภัยของกลาสีเรือ แม้เนื้อหาบางตอนจะดูตื่นเต้นเร้าใจเกินกว่าจะมีความสมจริงตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ แต่ในสภาวะที่ยุโรปเพิ่งจะพ้นจากยุคแห่งการจุดไฟเผาหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและยังคงเคร่งต่อจริยธรรมทางศาสนา มีใครบ้างที่จะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าตนเองเคยรับประทานเนื้อมนุษย์เพื่อประทังชีวิตกลางทะเลหลังจากถูกโจรสลัดโจมตี ข้อถกเถียงในงานของปินโตอาจจะมีอยู่ไม่น้อย แต่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นใดบ้างที่ปราศจากคำถามและความเคลือบแคลง งานของปินโตถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของศักราชก็เพราะบันทึกของเขาเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นจากความทรงจำเมื่อเขาเดินทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโปรตุเกสระยะหนึ่งแล้ว